ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้โลกทุกวันนี้กลายเป็นโลกไร้พรมแดนซึ่งทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายมากกว่าเดิม โดยสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องง่ายคือ เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย วิวัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายตัวอักษรย่อ G ซึ่งย่อมาจากคำว่า Generation แปลว่ายุคหรือช่วงสมัย โดยได้เริ่มมีการพัฒนาการของยุคต่างๆ ไว้ดังต่อไปนี้
ยุค 1G (1 Generation)
เป็นยุคที่ใช้ระบบอนาล็อก คือ การใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่การรับ-ส่ง SMS (Short Message Service) ก็ยังทำไม่ได้
ในยุคนั้นผู้บริโภคยังไม่ต้องการ การใช้งานอื่นๆ นอกจากเสียง (Voice) อยู่แล้ว โดยปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้มีรายได้สูง
ยุค 2G (2 Generation)
เป็นยุคที่เปลี่ยนจากการส่งคลื่นวิทยุแบบอนาล็อกมาเป็นการเข้ารหัสดิจิตอลแทน โดยผู้ใช้สามารถใช้งานทางด้านข้อมูล คือ สามารถส่งข้อความ SMS ได้นอกเหนือจากการโทรออก-รับสาย รวมทั้งยังทำให้เกิดการบริการมากมาย เช่น
การเปิดให้ดาวน์โหลดเสียงเรียกสาย (Ringtone) ภาพพื้นหลังหน้าจอ(Wallpaper) ต่อมาได้มีการนำเทคโนโลยี GPRS มาใช้ เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลให้มากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น
สามารถส่ง MMS (Multimedia Message Service) ได้ เสียงเรียกเข้ามีการเพิ่มเสียงเป็นแบบ Polyphonic (เสียงดนตรีสังเคราะห์) และ True tone (เสียงเพลงเสมือนจริง) รวมทั้งมีการพัฒนาจอภาพให้มีสีสันสวยงามแทนจอเดิมที่เป็นจอบแบบขาว-ดำ
ต่อมาได้มีการพัฒนาความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยี EDGE ซึ่งมีความเร็วมากกว่า GPRS ประมาณ 3 เท่า ทำให้สามารถเข้าเว็บไซต์ เล่นอินเทอร์เน็ตได้ แต่ความเร็วยังคงมีจำกัด และไม่สามารถรองรับไฟล์ขนาดใหญ่ได้โดยเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ถูกนำระบบมาตรฐานคลื่นความถี่ GSM (System for Mobile Communication)
ยุค 3G (3 Generation)
มีความโดดเด่นในเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและรับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อไร้สายด้วยความเร็วสูง เพื่อรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์สมัยใหม่ที่ช่วยให้สามารถใช้งานด้านมัลติมีเดียได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสามารถส่งข้อมูลทั้งภาพ และเสียงในระบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ซึ่งก่อให้เกิดการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาผ่านวีดีโอคอล (Video Call) หรือดูหนัง ฟังเพลง ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการบริการที่เรียกว่า โมไบล์แอพพลิเคชัน (Mobile Applicatoin) ด้วย สำหรับประเทศไทยได้นำเทคโนโลยี UMTS (Universal Mobile Telecommunication System ) มาใช้ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ถูกพัฒนามาจากระบบคลื่นความถี่ GSM ที่มีเทคโนโลยีหลักคือ W-CDMA ต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยี HSPA+ ที่สามารถรังส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 42 Mbps
ยุค 4G (4 Generation)
ถือได้ว่าเป็นยุคปัจจุบัน โดยจะเป็นการใช้เทคโนโลยี LTE (Long Term Evolution) ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ 3 GPP (3 Generation Partnership Project) ที่มีการส่งถ่ายข้อมูลดิจิตอลมัลติมีเดียสตรีมมิ่งที่มีความเร็วอย่างน้อย 100 Mbps และมีความเร็วสูงสุดถึง 1 Gbps
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น